วันที่ 21 กันยายนของทุกปี เป็น “วันปล่อยมลพิษเป็นศูนย์” หรือ Ze Day วันที่ทุกคนร่วมใจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมอบอนาคตที่สะอาดและยั่งยืนให้โลกของเรา
วันที่ 21 กันยายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น “วันปล่อยมลพิษเป็นศูนย์” (Zero Emissions Day) หรือเรียกสั้นๆ เป็นภาษาพูดว่า ‘Ze Day’ ซึ่งเป็นวันที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและกระตุ้นให้ทุกคนร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษอื่นๆ สู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อให้โลกของเราน่าอยู่และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
ความสำคัญของวันปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
วันปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ เริ่มต้นขึ้นเพื่อส่งเสริมให้บุคคล องค์กร และชุมชนทั่วโลกตระหนักถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และมลพิษอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การปล่อยมลพิษจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การคมนาคม และอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ และปัญหาสุขภาพทั่วโลก
จุดเริ่มต้นวันปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
วันปล่อยมลพิษเริ่มต้นขึ้นในเมืองแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดา จากการเปิดตัวเว็บไซต์ในวันที่ 21 มีนาคม 2551 ได้เรียกร้องให้ระงับการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลพร้อมกันในวันที่ 21 กันยายน ด้วยสโลแกน “ให้วันหยุดประจำปีกับโลกหนึ่งวัน” ข้อความที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งนั้น ได้รับการแปลกว่า 12 ภาษาเพื่อช่วยกันสื่อสาร
แนวคิดเบื้องหลัง Ze Day คือการหยุดเติมพลังงาน (ฟอสซิล) และเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราในแต่ละวัน เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ถึงทรัพยากรที่จำกัดและเพื่อรักษาโลกใบนี้เอาไว้
ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่เราใช้ได้มากจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการปล่อยมลพิษ และการปล่อยมลพิษเหล่านี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในทางกลับกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะก่อให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น ไฟป่า ภัยแล้ง น้ำท่วม และโรคระบาด เป็นต้น
สังคมสมัยใหม่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันจำเป็นต้องได้รับการชาร์จและขับเคลื่อนผ่านกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก ซึ่งมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน
ในทางปฏิบัติหลายคนไม่เคยมีส่วนร่วมหรือนึกไม่ถึงว่าการลดใช้พลังงานไฟฟ้าสามารถช่วยโลกเราได้ แต่อย่างน้อยยังมีหนึ่งวันที่เป็นเครื่องเตือนใจว่าเราทุกคนสามารถทำได้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เช่น ถอดปลั๊กทุกอย่างที่ไม่จำเป็น แทนที่จะดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หันไปสังสรรค์กับครอบครัวและเพื่อนฝูงและใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ เพราะความพยายามของแต่ละคนใน Zero Emissions Day คือสิ่งที่มีค่าสำหรับโลก
ในบ้านเราให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลก็สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ อีกทั้งไทยมีพันธะสัญญาในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเจตจำนงที่แสดงต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในการลดก๊าซเรือนกระจก 20-25% ภายในปี 2573 โดยในปี 2562 ไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 10-15% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7% จากปัจจุบันไทยเป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับที่ 21 ของโลก มีสัดส่วน 0.9% และเป็นที่ 2 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย ภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของไทยคือภาคพลังงาน ซึ่งรวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียรถยนต์ และโรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วน 70% ที่เหลือเป็นภาคอุตสาหกรรม 10% และภาคการเกษตร 10% (2)
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การลดการใช้พลังงานฟอสซิลลดลงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังทั้งในแง่ปัจเจก ชุมชน ธุรกิจ และอุตสาหกรรม และหันไปพึ่งพาการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น มีการนำเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดระดับคาร์บอนในสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หรือการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากอากาศ หรือจะต้องใช้ทุกวิธีที่กล่าวมานี้ร่วมกัน เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
อ้างอิง :
(1) www.zeroemissionsday.org, www.ecomena.org/zero-emissions-day/
(2) http://www.tgo.or.th/2020/index.php/th/post/TGO200100048