กว่า 60 องค์กรในนามภาคีเครือข่ายอากาศสะอาดประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา เรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เร่งพิจารณาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ….หรือ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร มาก่อนหน้านี้และรอเพียงขั้นตอนการพิจารณาของ สว.ให้เสร็จในสมัยสภานี้ เพื่อความใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และปัจจัยใดเป็น …-เข้ ขัดขวางร่างกฎหมายฉบับนี้
1) หาก สว.ยังอืดอาดล่าช้า ไม่เร่งพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด และนายกรัฐมนตรีเกิดหงุดหงิดตัดสินใจยุบสภาในเร็วๆ นี้ (ยุบเร็วกว่า MOA) จะทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ตกไปทันที ซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสใช้เครื่องมือใหม่ผ่านกฎหมายฉบับนี้ในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5
2) แถลงการณ์ของภาคีฯ ให้เหตุผลประกอบว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นความหวังในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเชิงโครงสร้างของประเทศ หากกฎหมายนี้สำเร็จ ประชาชนจะสามารถใช้ชีวิตกลางแจ้งได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องหมดเงินไปกับเครื่องฟอกอากาศ หน้ากากอนามัย และค่ารักษาพยาบาล
3) ที่ผ่านมาการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญของ สว.เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 2568 หลังจากได้รับหลักการไปเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2568 ดังนั้นเห็นอยู่ชัดๆ ว่า จะมีเวลาในการพิจารณาและผ่านกฎหมายไม่ถึงสามเดือนก่อนการยุบสภา ซึ่งคาดว่านายกฯ อาจจะยุบในวันที่ 29 ม.ค. 2569 แต่ดูเหมือนจนบัดนี้กมธ.วิสามัญของวุฒิสภาไม่ได้มีท่าทีเร่งรีบอย่างที่ควรจะเป็น
4) ด้วยข้อกังวลดังล่าวของ ภาคีฯ จึงได้เรียกร้องให้ สว.คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน โดยเฉพาะในแง่สุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ในวาระ 2 และ 3 ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่คนไทย อย่าไปฟังเสียงของเอกชนบางกลุ่มบางองค์กรที่คอยเสี้ยมให้ไขว้เขว
5) นอกจากเงื่อนไขการยุบสภาที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดในข้อที่ 3 ภาคีฯ ยังได้ชี้แจงข้อกังวลของผู้ประกอบการในนาม กกร. ใน 5 ประเด็นหลัก เพื่อให้ สว.ได้นำไปประกอบการพิจารณา
5.1. ความซ้ำซ้อนของกฎหมาย ภาคีฯ ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ไม่ได้ซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิมที่มี แต่จะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยอุดช่องโหว่ และบูรณาการกฎหมายเดิมที่กระจัดกระจายและไม่เพียงพอมาใช้แก้ไขปัญหามลพิษอากาศ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคมานาน
5.2 การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในคณะกรรมการ ภาคีฯ อธิบายว่า ภาคธุรกิจเอกชนสามารถเข้าร่วมในคณะกรรมการนโยบายเพื่ออากาศสะอาดและคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด ได้ตามรายละเอียดที่กฎหมายกำหนดไว้ เพียงแค่ไม่ระบุชื่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นการเฉพาะเพื่อเป็นการเปิดกว้างให้มีเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมหลากหลาย และไม่เป็นการผูกขาดแค่บางกลุ่ม
5.3 เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และต้นทุนทางธุรกิจ ภาคีฯ ระบุว่า ข้อกังวลเรื่องภาระต้นทุนที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากร่างกฎหมายได้บัญญัติถึงมาตรการสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี เช่น การให้เงินอุดหนุน และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้ผู้ประอกบารปรับตัวไว้เป็นระบบ ไม่ได้มุ่งลงโทษหรือสร้างต้นทุน แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ยุติธรรม เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมที่ดีต่อคุณภาพอากาศ และสร้างความรับผิดชอบตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (ไม่ก่อมลพิษก็ไม่ต้องร้อนตัว)
5.4 การจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด ภาคีฯ ชี้แจงว่า รายละเอียดการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาดในทางปฏิบัติเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารกองทุน ในร่างกฎหมายกำหนดไว้เฉพาะกรอบหลักการ วัตถุประสงค์ และการใช้จ่ายเท่านั้น
5.5 อัตราโทษและบทกำหนดโทษ ภาคีฯ อธิบายว่า กฎหมายมีทั้งมาตรการจูงใจ และบทลงโทษ ผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมดีและให้ความร่วมมือจะได้รับประโยชน์จากมาตรการจูงใจ ส่วนอัตราโทษสูงจะมุ่งเป้าไปที่ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและยังคงสร้างผลกระทบต่อส่วนรวมเท่านั้น
6) คำอธิบายในข้อ 5 จึงทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นภาพชัดขึ้นว่า กลุ่มที่จะเป็นเงื่อนไขให้กฎหมายฉบับนี้แท้ง ก็คือ สว.ที่มีท่าทีล่าช้าไม่เร่งรัดให้กกฎหมายผ่านออกมาได้ทันกรอบเวลา และอีกกลุ่มคือภาคเอกชนในนาม กกร. ที่ดูเหมือนจงใจจุดประเด็นข้อกังวลขึ้นโดยที่มีคำอธิบายจากทั้งตัวแทนของกรรมาธิการ และทางภาคีฯ ชัดเจนในทุกประเด็นแล้ว
7) หากภาคเอกชนเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และมุ่งดำเนินบทบาทขององค์กรเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ กลุ่มเอกชนจะต้องทบทวนจุดยืนและยุติการคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะกฎหมายฉบับนี้ต่างหากที่จะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้กับผู้ประกอบการในประเทศและนักลงทุนจากต่างชาติอย่างที่แท้จริง
8) กกร.ควรต้องอธิบายและทำความเข้าใจแก่สมาชิกองค์กรว่า โลกจะล้อมไทยด้วยเงื่อนไขคาร์บอนในมิติต่างๆ เพิ่มมากขึ้น มลพิษอากาศที่ถูกปล่อยจากภาคการผลิต จะกลายเป็นเงื่อนไขและอุกปสรรคการค้าขายในอนาคต จึงควรเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการนำเครื่องที่ภาคประชาชสังคมได้ผลักดันมาช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย
9) คณะ สว. และสมาชิก กกร. โปรดเข้าใจคำว่า สิทธิในอากาศสะอาดว่าเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง ซึ่งนานาอารยประเทศให้การรับรอง มีการกำหนดเกณฑ์อากาศสะอาดตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และปัจจุบันทั่วโลกได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพราะในทุกๆ ปีมีประชากรโลกต้องจบชีวิตลงมลพิษอากาศเพิ่มมากขึ้นในทุกปี
10) ดังนั้น ร่างกฎหมายอากาศสะอาดจึงเป็นวาระของประเทศไทยและเป็นวาระของโลกที่ต่างคอยจับจ้องการดำเนินงานและติดตามความก้าวหน้าการผลักดันเครื่องมือใหม่ๆ ในบ้านเรา (รวมถึงความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.โลกร้อนด้วย) สว. และ กรร. จึงไม่ควรมีวาระซ่อนเร้น ผลประโยชน์แอบแฝงส่วนตัว โดยไม่คำถึงถึงผลประโยชน์ของผู้คนในสังคมและอนาคตของประเทศที่จะมีโอกาสก้าวสู่อารยะด้านสิ่งแวดล้อมเหมือนชาติอื่นเขาบ้าง
อนึ่ง การแถลงการณ์ในครั้งนี้ของภาคีฯ จัดขึ้นหลังจาก กกร. ได้แถลงจุดยืนแสดงความกังวลและไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้ใน 5 ประเด็น เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2568
