ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แนวชายฝั่งไทยได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากการกัดเซาะที่รุนแรง สู่การฟื้นตัวที่น่าทึ่ง ด้วยพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 8,500 ไร่ จากพลังของธรรมชาติและการจัดการอย่างยั่งยืน
ในยามเช้าที่คลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งอย่างนุ่มนวล เสียงลมพัดและน้ำกระเซ็นอาจดูเป็นภาพธรรมดา แต่ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี (2562–2567) คลื่นเหล่านี้ได้นำพาการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ “แนวชายฝั่งทะเลไทย” ที่เคยเผชิญกับร่องรอยการกัดเซาะอย่างหนักหน่วง สู่การฟื้นฟูที่ให้ความหวังแก่ชุมชนและสิ่งแวดล้อม
องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษแห่งประเทศไทย (GISTDA) ได้นำข้อมูลเส้นเฝ้าระวังชายฝั่ง (Coastal Monitoring Line: CM Line) มาวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยอาศัยการแปลผลจากภาพถ่ายดาวเทียม ร่วมกับการสำรวจภาคสนาม และการตรวจสอบความถูกต้องจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) การวิเคราะห์เชิงพื้นที่นี้เปรียบเทียบข้อมูลเส้นเฝ้าระวังชายฝั่งระหว่างปี 2562 และ 2567 เพื่อเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่แนวชายฝั่งไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง?
จากแผนที่ที่แสดงความแตกต่างของพื้นที่ชายฝั่ง สามารถสรุปผลการวิเคราะห์ได้ดังนี้:
พื้นที่ที่ถอยร่นหรือหายไป
บางพื้นที่ยังคงต้องเผชิญกับ “การกัดเซาะชายฝั่ง” ที่ทำให้ชายหาดค่อยๆ สูญหายไป ผลกระทบนี้เกิดจากทั้งปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น คลื่นลมและกระแสน้ำ และกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การก่อสร้างหรือการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม โดยรวมแล้ว มีกว่า 77 ตำบล ทั่วประเทศที่แนวชายฝั่งถอยร่นลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศชายฝั่ง
พื้นที่ที่ฟื้นคืน
ในขณะเดียวกัน ธรรมชาติก็ยังคงทำงานอย่างเงียบเชียบผ่านกระบวนการทับถมของตะกอนดิน ทราย และการฟื้นฟูตามธรรมชาติ ทำให้แนวชายฝั่งใน 241 ตำบล ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การฟื้นฟูนี้เกิดจากการสะสมของวัสดุจากแม่น้ำหรือกระแสทะเลที่นำพาตะกอนมาสะสม สร้างความสมดุลให้กับชายฝั่งที่เคยถูกทำลาย ภาพรวมทั้งประเทศ
เมื่อรวบรวมผลการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด พบว่าประเทศไทยได้รับพื้นที่ชายฝั่งเพิ่มขึ้นสุทธิราว 8,500 ไร่ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจนว่าการฟื้นตัวของชายฝั่งมีมากกว่าการสูญเสีย สะท้อนถึงศักยภาพของระบบนิเวศทะเลไทยในการปรับตัวและฟื้นฟู หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม
นอกจากนี้ จากข้อมูลการวิเคราะห์ ตำบลที่มีแนวชายฝั่งลดลงมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่:
- ต.บางตาวา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
- ต.ปากทะเล อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
- ต.ไม้แก่น อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี
- ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
- ต.ปากน้ำ อ.หลังสวน จ.ชุมพร
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการเคลื่อนไหวของคลื่นและตะกอนดินเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความจำเป็นที่มนุษย์ต้องร่วมมือกับธรรมชาติ โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและคลื่นพายุรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ชายหาดเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวกันชนธรรมชาติที่ปกป้องชุมชนจากพายุ คลื่นลม และน้ำท่วม ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวและฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ การอนุรักษ์และจัดการชายฝั่งอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาความงดงามและความมั่นคงของแนวชายฝั่งไทย
เทคโนโลยีดาวเทียมที่ใช้ในการติดตามนี้ ไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลเชิงวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนและปรับตัวรับมือกับผลกระทบจาก climate change โดยช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที เช่น การปลูกป่าชายเลน การควบคุมการก่อสร้าง หรือการฟื้นฟูพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการกัดเซาะ ทำให้ชายฝั่งไทยสามารถคงความงดงามและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
อ้างอิง:
(1) ระบบฐานข้อมูลเชิงพื้นที่การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทย (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, GISTDA)