สาระสำคัญในรายงาน CCDR ของธนาคารโลก ชี้ชัดว่า หากไทยไม่เร่งปรับตัวสู้ “หายนะสภาพอากาศ” อาจพลาดโอกาสในการก้าวสู่ “ประเทศรายได้สูง” ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
รายงานว่าด้วยสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาของประเทศไทย (Thailand Country Climate and Development Report: CCDR) ที่จัดทำโดยกลุ่มธนาคารโลก ระบุว่า ในปัจจุบันไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านที่ซ้อนทับกันอยู่ในการรับมือภาวะโลกร้อน ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง กิจกรรมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกลับหยุดนิ่ง และปัญหาผู้สูงอายุของประชากรที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (1)
ภัยหลัก ๆ จากสภาพอากาศที่รุนแรงและประเทศไทยกำลังเผชิญ ได้แก่ น้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน โดยน้ำท่วมได้สร้างความเสียหายอย่างมาก โดยเฉพาะในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากน้ำทะเลหนุน และการทรุดตัวของแผ่นดิน (1)
ข้อมูลจากรายงาน Climate Risk Index (CRI) 2026 โดยองค์กร Germanwatch ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก โดยใช้ฐานข้อมูลระหว่างประเทศ ช่วงระยะเวลา 30 ปี (ค.ศ. 1995–2024) พบว่า ในปี 2024 ประเทศไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอยู่ในอันดับที่ 17 จากอันดับที่ 72 ในปี 2022 สะท้อนถึงความเปราะบางต่อเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอย่างชัดเจน ส่วนความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี อยู่อันดับที่ 22 จากอันดับที่ 30 ในปี 2022 แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงของไทยเพิ่มสูงขึ้น (2)
รายงานดังกล่าว ยังระบุว่า ในช่วงปี 30 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากกว่า 9,700 ครั้ง มีประชากรได้รับผลกระทบเกือบ 5,700 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตกว่า 832,000 คน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุการเสียชีวิตสูงที่สุดเกิดจากคลื่นความร้อนและพายุ รวม 66% ขณะที่น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อประชากรมากที่สุด 48% ส่วนพายุสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงที่สุด 58% หรือราว 2.64 ล้านล้านดอลลาร์ (2)
สำหรับปี 2024 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ เกรนาดา ชาด ปาปัวนิวกินี ไนเจอร์ เนปาล ฟิลิปปินส์ มาลาวี เมียนมา และเวียดนาม ขณะที่ความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี ประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ได้แก่ โดมินิกา เมียนมา และฮอนดูรัส ซึ่งกลุ่มประเทศดังกล่าว มีความสามารถในการปรับตัวต่ำกว่าประเทศอื่น (2)
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ถึงแม้ว่าไทยจะมีระดับการพัฒนาสูงกว่าประเทศรายได้ต่ำหลายประเทศ แต่ยังคงเผชิญกับความสูญเสียและความเสียหายจากสภาพอากาศรุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หนึ่งในจังหวัดที่มีความเสี่ยงในเรื่องภัยอันตรายจากฝนตกหนัก ที่มีปริมาณฝนตกหนักสูงสุดถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน ถือเป็นปริมาณที่มากผิดปกติในรอบ 300 ปี ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน (2)
สาเหตุของปริมาณฝนที่ตกหนักนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูปแบบของฝนเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดนโยบายรัฐบาลด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อ 12 เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงสูง และข้อ 13 ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050 (2)
ขณะที่ภาคเหนือและอีสานเผชิญปัญหาภัยแล้งเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงทางน้ำและกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ในขณะที่คลื่นความร้อนและภาวะความเครียดจากความร้อน กำลังลดประสิทธิภาพการทำงานลง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อ GDP สูงถึง 85,000 – 123,000 ล้านบาท (1)
แม้ไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นเพียง 0.88% ของการปล่อยก๊าซทั่วโลกในปี 2565 แต่การปล่อยก๊าซต่อหัวกลับสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน การบรรลุเป้าหมายที่สำคัญของประเทศ เช่น ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 จะต้องลงทุนและปฏิรูปโครงสร้างที่สำคัญอย่างมหาศาล (1)
ภาคพลังงานเป็นแหล่งที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณสองในสามของการปล่อยทั้งหมดของประเทศในปี 2565 ตามด้วยภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วน 18% และภาคอุตสาหกรรม 10% การเปลี่ยนแปลงไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนในภาคไฟฟ้าและการขนส่ง การลงทุนในเทคโนโลยีที่สะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการทำเกษตรที่ยั่งยืน (1)
ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายผ่านยุทธศาสตร์ระยะยาวในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (LT-LEDS) รวมถึงการปรับปรุงเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC) ลง 30 – 40% ภายในปี 2573 เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ในสภาวะปกติ และมีแผนพลังงานแห่งชาติ (NEP) ที่สนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้ นอกจากนั้น ยังมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ที่มุ่งหวังให้พลังงานหมุนเวียนมีส่วนแบ่งสูงถึง 90% ของการผลิตไฟฟ้ารวมภายในปี 2593 (1)
จากรายงาน CCDR ระบุว่า หากไทยไม่ดำเนินการใด ๆ ในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (BAU) GDP อาจลดลงระหว่าง 7 – 14% ภายในกลางศตวรรษ เนื่องจากผลกระทบจากการลดลงของผลิตภาพแรงงานในอากาศที่ร้อนจัด แต่หากมีการลงทุนในด้านการปรับตัว เช่น การป้องกันน้ำท่วม ความมั่นคงด้านน้ำ และการป้องกันชายฝั่ง อาจทำให้ GDP เพิ่มขึ้นได้ถึง 4 – 5% ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (1)
ธนาคารโลกมีข้อเสนอให้ไทยควรเร่งลดความเสี่ยงจากภัยแล้งและน้ำท่วม เช่น การดำเนิน “แผน 9 แผน” มูลค่า 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 430,500 ล้านบาท เพื่อบรรเทาน้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ควรฟื้นฟูลุ่มน้ำตอนบนด้วยการปลูกป่า แก้ปัญหาการกัดเซาะที่มีมากกว่า 30% ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการปลูกป่าชายเลนและการเติมทรายชายหาด ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้สูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 490,000 ล้านบาท จากรายได้การท่องเที่ยว (1)
นอกจากนี้ จะต้องบริหารจัดการความต้องการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่คาดว่า จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำระหว่าง 40 – 72% ภายในปี 2570 รวมทั้งลงทุนในเศรษฐกิจหมุนเวียนของน้ำ ควรขยายศูนย์พักร้อน ใช้อาคารสาธารณะเพื่อลดความร้อน และสนับสนุนครัวเรือนที่มีรายได้น้อยให้เข้าถึงเครื่องปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน รวมถึงการจัดทำแนวทางการปรับตัวต่อความร้อนในผังเมือง (1)
สำหรับ ภาคเกษตรควรปรับงบประมาณสนับสนุนไปที่การลงทุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) และเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะ พร้อมเสริมสร้างระบบคุ้มครองสังคมและทะเบียนสังคมเพื่อช่วยเหลือครัวเรือนที่มีความเปราะบางโดยทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น (1)
รายงานฉบับนี้ ระบุว่า การเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะช่วยให้ GDP ของไทยในปี 2593 สูงขึ้นราว 2.5% เมื่อเทียบกับกรณีปกติ (BAU) และทำให้การปล่อยคาร์บอนภาคพลังงานลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามของระดับเดิม (1)
ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง พบว่า จำนวนบริษัทเพียง 1% สามารถทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมากถึง 77% ของทั้งหมด จึงควรพิจารณาใช้ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ปล่อยก๊าซรายใหญ่ พร้อมทั้งลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านดอลลาร์ ต่อเนื่องเป็นเวลา 25 ปี ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมที่ยากต่อการปรับตัว เช่น ปูนซีเมนต์และปิโตรเคมี โดยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีในการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) (1)
ภาคการขนส่งมีความท้าทาย เนื่องจากการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2566 มียานยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 12% ของยอดขายรถใหม่ รัฐบาลควรเปลี่ยนบทบาทจากการสนับสนุนการซื้อไปสู่การลงทุนสถานีชาร์จไฟสาธารณะ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณเฉลี่ยปีละ 2,200 ล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า รวมถึงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับยานยนต์ขนาดหนักที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าได้ง่าย (1)
ภาคการเกษตร โดยเฉพาะนาข้าวที่ปล่อยก๊าซมีเทนสูงถึงครึ่งหนึ่งของการปล่อยในภาคนี้ สามารถลดการปล่อยได้ระหว่าง 30 – 50% ผ่านวิธีการทำนา “เปียกสลับแห้ง” โดยรัฐบาลควรสนับสนุนการให้สินเชื่อสีเขียว การสนับสนุนเครื่องจักรเกษตรที่มีความแม่นยำ และออกกฎหมายห้ามเผาตอซัง (1)
ขณะที่ภาคป่าไม้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามแผน LT-LEDS ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการดูดซับคาร์บอนจาก 100 เป็น 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) ต่อปี ภายในปี 2593 ซึ่งจะต้องมีการลงทุนมากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ใน 10 ปี (1)
การบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศนั้น รายงาน CCDR ระบุว่า ไทยต้องการเงินลงทุนเพิ่มเติมเพื่อรับมือประมาณ 219,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7.7 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลา 25 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็น 2.4% ของ GDP สะสมในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งไทยจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการตามนโยบาย และนำแผนงานไปปฏิบัติอย่างจริงจังและบูรณาการจะช่วยให้ไทยสามารถบรรลุความฝันในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ และกลายเป็นผู้นำเศรษฐกิจสีเขียวในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง (1)
ที่มา:
- Thailand Country Climate and Development Report (CCDR), World Bank, 2024
- https://www.facebook.com/share/p/1GtZXfJTwC/
