การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ทำ “ทะเลแคสเปียน” กำลังเผชิญกับความเสื่อมโทรม ระดับน้ำลดลงจนกลายเป็นผืนดินแห้งแล้ง ขณะที่ “แมวน้ำ และ ปลาสเตอร์เจียน” เสี่ยงสูญพันธุ์
ทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำในแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับวิกฤตการลดลงของระดับน้ำอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมของมนุษย์ ผลกระทบจากการหดตัวของทะเลแคสเปียน ไม่เพียงแต่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของประชากรนับล้าน และโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศรอบข้าง
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ ได้เผยแพร่ข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับอนาคตของทะเลแคสเปียน โดยเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องทั้งระบบนิเวศ สุขภาพของมนุษย์ และอุตสาหกรรมที่พึ่งพาทะเลแห่งนี้
ระดับน้ำที่ลดลง: ภัยเงียบที่กำลังคืบคลาน
ทะเลแคสเปียน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย มีพื้นที่กว้างขวางถึง 387,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย รวมถึงสัตว์ที่พบได้เฉพาะในภูมิภาคนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ทำให้อัตราการระเหยของน้ำในทะเลแคสเปียนสูงกว่าปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามาจากแม่น้ำและแหล่งน้ำอื่นๆ ส่งผลให้ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง
จากการคาดการณ์ของนักวิจัย แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกจะถูกควบคุมให้ต่ำกว่า 2°C ตามข้อตกลงปารีส ระดับน้ำในทะเลแคสเปียนก็ยังอาจลดลงได้ถึง 5-10 เมตรภายในสิ้นศตวรรษนี้ แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระดับน้ำอาจลดลงมากถึง 21 เมตร หรือกว่า 68 ฟุต ส่งผลให้พื้นที่กว่า 112,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าไอซ์แลนด์ กลายเป็นผืนดินแห้งแล้ง
พื้นที่น้ำตื้น ซึ่งเป็นแหล่งที่มีความสำคัญทั้งทางนิเวศวิทยาและเศรษฐกิจ จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและเป็นแหล่งทรัพยากรที่ชุมชนในภูมิภาคพึ่งพา
ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
- แมวน้ำแคสเปียน: ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ตั้งแต่ปี 2551 แมวน้ำเหล่านี้ พึ่งพาน้ำแข็งในทะเลแคสเปียนตอนเหนือเพื่อใช้เป็นสถานที่ให้กำเนิดลูกในช่วงฤดูหนาว (มกราคมถึงมีนาคม) หากระดับน้ำลดลง 5 เมตร พื้นที่อยู่อาศัยของแมวน้ำอาจลดลงถึง 81% ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสายพันธุ์นี้
- ปลาสเตอร์เจียน: 6 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตคาเวียร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก การลดลงของระดับน้ำ จะจำกัดการเข้าถึงแม่น้ำที่เป็นแหล่งวางไข่ของปลาสเตอร์เจียน ซึ่งอาจส่งผลให้ประชากรของปลาชนิดนี้ลดลงอย่างมาก
- นกอพยพ: ทะเลแคสเปียนเป็นจุดแวะพักที่สำคัญสำหรับนกอพยพที่เดินทางระหว่างยุโรป เอเชีย และแอฟริกา การสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำและแหล่งกกชายฝั่งจะลดแหล่งอาหารและที่พักของนกเหล่านี้
นอกจากนี้ การลดลงของระดับน้ำอาจทำให้ระบบนิเวศ 4 ใน 10 ประเภทที่พบในทะเลแคสเปียนสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง และพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจลดลงถึง 94% ซึ่งจะทำให้ความพยายามในการอนุรักษ์เผชิญกับความท้าทายอย่างมาก
ผลกระทบต่อมนุษย์และเศรษฐกิจ
ทะเลแคสเปียนไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ด้านนิเวศวิทยาเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของ 5 ประเทศที่ล้อมรอบ ได้แก่ อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน คาซัคสถาน รัสเซีย และเติร์กเมนิสถาน ซึ่งมีประชากรรวมกว่า 15 ล้านคนอาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่ง ทะเลแห่งนี้เป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการประมง การเดินเรือ การค้า และการควบคุมสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียกลาง
- ชุมชนชายฝั่ง: ในพื้นที่แคสเปียนตอนเหนือ ชุมชน ท่าเรือ และโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งอาจถูกทิ้งให้ห่างจากชายฝั่งใหม่หลายสิบหรือหลายร้อยกิโลเมตร ทำให้สูญเสียการเข้าถึงแหล่งน้ำและโอกาสทางเศรษฐกิจ
- มลพิษจากฝุ่น: พื้นทะเลที่แห้งเหือดอาจปล่อยฝุ่นที่มีสารปนเปื้อนจากอุตสาหกรรมและเกลือออกมา ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ ปรากฏการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อทะเลอารัลแห้งเหือดในช่วงศตวรรษที่ 20
- อุตสาหกรรมพลังงานและการค้า: ท่าเรือสำคัญ เช่น บากู (อาเซอร์ไบจาน) อันซาลี (อิหร่าน) และอักเตา (คาซัคสถาน) อาจเผชิญกับชายฝั่งที่ถอยร่นออกไป 1 กิโลเมตรหรือมากกว่า ส่วนท่าเรือเติร์กเมนบาชี (เติร์กเมนิสถาน) และลากัน (รัสเซีย) อาจห่างจากชายฝั่งถึง 16 และ 115 กิโลเมตรตามลำดับ นอกจากนี้ แหล่งน้ำมันและก๊าซ เช่น Kashagan และ Filanovsky ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไฮโดรคาร์บอนที่สำคัญ อาจเผชิญกับความท้าทายในการขนส่งหากระดับน้ำลดลง 5-15 เมตร
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลีดส์ นำโดย ดร. ไซมอน กูดแมน ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการเชิงรุกเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ แม้ว่าการลดลงของระดับน้ำในทะเลแคสเปียนดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นักวิจัยเชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะลดผลกระทบผ่านการวางแผนและความร่วมมือระหว่างประเทศ
- การอนุรักษ์ที่ยืดหยุ่น: นักวิจัยแนะนำให้ปรับเปลี่ยนแนวทางการอนุรักษ์จากพื้นที่คุ้มครองที่มีขอบเขตคงที่ไปสู่แนวทางที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำได้
- การปกป้องชุมชนและอุตสาหกรรม: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง เช่น การย้ายท่าเรือหรือพัฒนาเทคโนโลยีการขนส่งใหม่ จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ: ประเทศรอบทะเลแคสเปียนจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ดร. กูดแมน กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าการลดลงของระดับน้ำจะเกิดขึ้นในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า แต่ความท้าทายด้านการเมือง กฎหมาย และโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องนั้นซับซ้อน การเริ่มดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้จะเพิ่มโอกาสในการปกป้องทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในภูมิภาคนี้”
งานวิจัยนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเตือนภัยเกี่ยวกับอนาคตของทะเลแคสเปียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตื่นตัวและลงมือปฏิบัติ รีเบกกา คอร์ต นักวิจัยระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยลีดส์ หวังว่าการวิจัยนี้จะช่วยเพิ่มความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการวางแผนเชิงรุกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
เอลชิน มาเมดอฟ จากกระทรวงนิเวศวิทยาและทรัพยากรธรรมชาติแห่งชาติของอาเซอร์ไบจาน กล่าวเสริมว่า “การวิจัยนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ เพื่อจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อทะเลแคสเปียน”
ในขณะที่ทะเลแคสเปียนยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติและการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ทั้งสัตว์ป่า มนุษย์ และอุตสาหกรรมสามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
อ้างอิง :
- https://www.earth.com/news/caspian-sea-decline-threatens-wildlife-human-health-and-industry/
- https://edition.cnn.com/2024/10/24/climate/caspian-sea-shrinking-pollution/index.html