ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกน้ำท่วมอย่างหนักภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีความเสี่ยงสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อมูลระบุว่า คณะกรรมการระหว่างประเทศ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) คาดการณ์ว่า ระดับน้ำทะเลทั่วโลกอาจสูงขึ้นถึง 1.1 เมตร ภายในปี 2643 (ค.ศ. 2100) และแม้ว่าจะมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในระยะสั้นและระยะกลาง ก็ยังคงไม่อาจหยุดยั้งได้
คาดการณ์ว่าประชากรราว 1 พันล้านคนทั่วโลก จะเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2593 เป็นต้นไป โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่ง 8 ประเทศ ได้แก่ จีน, บังกลาเทศ, อินเดีย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ประเทศไทย, ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเวียดนาม, อียิปต์ และบังกลาเทศ มีดัชนีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงสุดที่ 9.9 จาก 10 คะแนน ตามมาด้วยประเทศไทย (9.8), อิรัก (9.6), ปากีสถาน (9.5), จีน (9.3) และอินเดีย (9.2)
สาเหตุ กทม. เสี่ยงน้ำท่วมรุนแรง
กรุงเทพมหานครเผชิญความเสี่ยงรุนแรงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการทรุดตัวของแผ่นดิน ด้วยระดับความสูงเฉลี่ยเพียง 1.5 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และอัตราการทรุดตัวของพื้นดินปีละ 2-3 เซนติเมตร องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ประชากรประมาณ 5 ล้านคน จากทั้งหมด 10.7 ล้านคนในกรุงเทพฯ อาจเผชิญความเสี่ยงจากน้ำท่วม และภายในปี 2593 คาดว่า พื้นที่หนึ่งในสามของเมืองอาจจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด ส่งผลให้ประชากรเกือบ 11 ล้านคน อาจต้องอพยพออกจากพื้นที่
การคาดการณ์ล่าสุดจาก Climate Central ยังระบุว่า กรุงเทพฯ และพื้นที่ชายฝั่งของประเทศไทย รวมถึงบางส่วนของมาเลเซีย อาจเผชิญน้ำท่วมรุนแรงได้เร็วที่สุดในปี 2573 (ค.ศ. 2030) โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งที่ติดกับอ่าวไทย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลหนุน และพายุที่รุนแรงขึ้น
นอกจากประเทศไทย ประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียนก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน รายงานจาก McKinsey Global Institute (MGI) ระบุว่า นครโฮจิมินห์ของเวียดนามเผชิญความเสี่ยงจากอุทกภัยถึง 23% ของพื้นที่ในปัจจุบัน และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 36% ภายในปี 2593 โดยระดับน้ำท่วมอาจสูงขึ้นถึงสามเท่า และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่ออสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานสูงถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ฟิลิปปินส์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะกรุงมะนิลา ซึ่งคาดว่าบางส่วนของเมืองจะจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2593 ส่งผลกระทบต่อประชากร 6.8 ล้านคนในพื้นที่เสี่ยงภัย แม้ว่ารัฐบาลฟิลิปปินส์จะมีโครงการย้ายถิ่นฐานสำหรับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง แต่หลายครัวเรือนยังคงปฏิเสธการย้ายออก เนื่องจากวิถีชีวิตที่พึ่งพาทรัพยากรจากทะเล
ส่วนมาเลเซีย โดยเฉพาะชายฝั่งด้านตะวันตกและตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย อาจเผชิญน้ำท่วมจากช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ ซึ่งอาจครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งถึง 12,000 ตารางกิโลเมตร ระหว่างปี 2573 ถึง 2593
ข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัยของ Climate Central ยังชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลทั่วโลกเกิดจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งขั้วโลกละลาย รวมถึงการขยายตัวของน้ำทะเลจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำอย่างกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคกลาง เช่น สมุทรปราการ และสมุทรสาคร มีความเปราะบางเป็นพิเศษ การทรุดตัวของแผ่นดินในกรุงเทพฯ ซึ่งเกิดจากการสูบน้ำบาดาลจำนวนมากในอดีตและน้ำหนักของสิ่งปลูกสร้างในเมือง ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง นอกจากนี้ พายุที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ชายฝั่งและเมืองใหญ่
อ้างอิง :