โลกจ่อเสีย ‘ธารน้ำแข็ง’ ปีละ 3 พันแห่ง เข้าสู่จุดสูงสุดการสูญพันธุ์

by Pom Pom

วิกฤตโลกเดือด นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ โลกจะสูญเสียธารน้ำแข็ง 3,000 แห่งต่อปี ในช่วง “จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์”

นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจ โลกกำลังเข้าสู่ ‘จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็ง’ (Glacier Extinction Peak) คาดการณ์ภายในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า เราอาจสูญเสียธารน้ำแข็งไปมากถึง 3,000 แห่งต่อปี และเหลือเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำเมื่อสิ้นศตวรรษนี้ หากภาวะโลกร้อนยังไม่ถูกยับยั้ง”

ความแตกต่างเพียงไม่กี่องศา กับความอยู่รอดของธารน้ำแข็งโลก

วารสาร Nature Climate Change ได้เผยแพร่ผลงานวิจัยล่าสุด นำโดย Lander Van Tricht นักธารน้ำแข็งวิทยาจาก ETH Zurich และ Vrije Universiteit Brussel ซึ่งระบุว่า นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลทั่วโลกในปัจจุบันจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของธารน้ำแข็งว่าจะคงอยู่หรือสูญสิ้นไป

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิที่ต่างกันเพียงไม่กี่องศาเซลเซียส คือเส้นแบ่งเขตแดนที่สำคัญ หากเราคุมความร้อนได้ เราอาจรักษาธารน้ำแข็งไว้ได้เกือบครึ่งหนึ่งของโลกในปี พ.ศ. 2643 (ค.ศ. 2100) แต่หากความล้มเหลวในการจัดการสภาพภูมิอากาศยังดำเนินต่อไป โลกอาจเหลือธารน้ำแข็งไม่ถึง 10% เท่านั้นเมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้

เปิดแนวคิด “จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็ง” (Glacier Extinction Peak)

ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์มักให้ความสำคัญกับการสูญเสียมวลน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อระดับน้ำทะเล แต่ทีมวิจัยของ Van Tricht ได้เปลี่ยนมุมมองมาวิเคราะห์ที่ “จำนวนรายแห่ง” ของธารน้ำแข็งที่หายไป โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ตรวจสอบโครงร่างของธารน้ำแข็งกว่า 211,490 แห่งทั่วโลกผ่านภาพถ่ายดาวเทียม

พวกเขาได้นิยามคำว่า “จุดสูงสุดของการสูญพันธุ์ของธารน้ำแข็ง” เพื่อระบุช่วงปีที่ธารน้ำแข็งจะหายไปในจำนวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งอัตราการละลายนี้ขึ้นอยู่กับระดับความร้อนของโลก ดังนี้

ปัจจุบัน: โลกกำลังสูญเสียธารน้ำแข็งประมาณ 1,000 แห่งต่อปี

  • สถานการณ์ 1.5 องศาเซลเซียส: แม้จะควบคุมอุณหภูมิได้ตามข้อตกลงปารีส แต่อัตราการหายไปจะพุ่งขึ้นเป็น 2,000 แห่งต่อปี ภายในปี พ.ศ. 2584 (ค.ศ. 2041)
  • สถานการณ์ 2.7 องศาเซลเซียส: (ตามแนวโน้มนโยบายปัจจุบัน) อัตราการสูญเสียจะเพิ่มเป็น 3,000 แห่งต่อปี ในช่วงปี พ.ศ. 2583 – 2603
  • สถานการณ์เลวร้ายที่สุด 4 องศาเซลเซียส: โลกจะสูญเสียธารน้ำแข็งมากถึง 4,000 แห่งต่อปี ภายในปี พ.ศ. 2593 เป็นต้นไป

ผลกระทบที่มากกว่าเรื่องของวิทยาศาสตร์

Matthias Huss นักธารน้ำแข็งวิทยาผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า ความสำคัญของการหายไปของธารน้ำแข็งแต่ละแห่งนั้นไม่ใช่แค่ตัวเลขทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความสูญเสียทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม โดยเขาเคยร่วมพิธีศพเชิงสัญลักษณ์ให้กับธารน้ำแข็งปิโซลในเทือกเขาแอลป์มาแล้วในปี 2019

แม้การละลายของธารน้ำแข็งขนาดเล็กจะส่งผลต่อระดับน้ำทะเลน้อยกว่าน้ำแข็งยักษ์ในกรีนแลนด์หรือแอนตาร์กติกา แต่การหายไปของพวกมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อ:

  • การท่องเที่ยว: แลนด์มาร์คทางธรรมชาติที่เคยดึงดูดผู้คนจะหายไป
  • วัฒนธรรมท้องถิ่น: วิถีชีวิตและตำนานที่ผูกพันกับน้ำแข็งมานานนับพันปี
  • ระบบนิเวศต้นน้ำ: การไหลของน้ำตามธรรมชาติที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ความเหลื่อมล้ำของกาลเวลาในแต่ละภูมิภาค

ช่วงเวลาแห่งการสูญพันธุ์จะแตกต่างกันไปตามที่ตั้งและขนาดของธารน้ำแข็ง:

  • ภูมิภาคที่วิกฤตเร็วที่สุด: เช่น เทือกเขาแอลป์ในยุโรป และเทือกเขาแอนดีสในเขตร้อนชื้น ธารน้ำแข็งกว่าครึ่งหนึ่งอาจหายไปภายใน 20 ปีข้างหน้า
  • ภูมิภาคที่ยืดเยื้อกว่า: เช่น กรีนแลนด์ และบริเวณรอบนอกของทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งมีธารน้ำแข็งขนาดมหึมา การสูญพันธุ์จะไปถึงจุดสูงสุดในช่วงปลายศตวรรษ

บทสรุปที่น่าใจหายจาก Van Tricht ระบุว่า ในบางพื้นที่ เช่น เทือกเขาแอลป์ อัตราการสูญเสียอาจลดลงเป็นศูนย์เมื่อสิ้นศตวรรษ แต่นั่นไม่ใช่เพราะสถานการณ์ดีขึ้น แต่เป็นเพราะ “แทบไม่มีธารน้ำแข็งเหลืออยู่ให้ละลายอีกต่อไปแล้ว”

อ้างอิง :

Copyright @2021 – All Right Reserved.