COP30 เขย่าเวทีโลก! 44 ประเทศชู ‘ปฏิญญาเบเลง’ เรียกร้องโลกหยุดมองข้าม: ความหิวโหยและความยากจนคือ ‘ความอยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ’
การประชุม COP30 หรือการประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 จัดขึ้นที่เมือง เบเลง (Belém) ประเทศบราซิล เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 โดยมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะการประชุมที่จัดขึ้น ณ ชายแดนของแม่น้ำอเมซอน ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทของป่าฝน ในฐานะส่วนสำคัญของการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
การประชุมครั้งนี้ถูกกำหนดให้เป็น “COP แห่งการปฏิบัติ” ที่มีเป้าหมายในการเปลี่ยนคำมั่นสัญญาให้เป็นการลงมือทำจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวาระครบรอบ 10 ปีของความตกลงปารีส และการกำหนดเป้าหมายทางการเงินใหม่ เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างยั่งยืน
ท่ามกลางวาระการเจรจาที่ซับซ้อนนั้น สิ่งที่โดดเด่นและถูกยกขึ้นมาเป็นหัวข้อหลักในวันเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรีคือ “ปฏิญญาเบเลง” ว่าด้วยปัญหาความหิวโหย ความยากจน และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ปฏิญญาเบเลง: เชื่อมโยงสภาพภูมิอากาศกับความยุติธรรมทางสังคม
ปฏิญญาเบเลง เป็นเอกสารสำคัญที่ได้รับการรับรองจาก 44 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยยอมรับว่าผลกระทบที่รุนแรงที่สุดนั้น ตกอยู่กับประชากรกลุ่มเปราะบางที่สุดที่กำลังเผชิญกับความหิวโหยและความยากจน
ประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา ได้เน้นย้ำในพิธีเปิดว่า ภาวะโลกร้อนอาจผลักดันให้ผู้คนหลายล้านคนเผชิญกับความหิวโหยและความยากจน ซึ่งเป็นการทำลายความก้าวหน้าที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ โดยย้ำว่า หนึ่งในพันธสัญญาสำคัญของบราซิลในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือการบูรณาการการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการพัฒนาสังคม และนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ
เนื้อหาหลักของปฏิญญา เรียกร้องให้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการบรรเทาผลกระทบ (Mitigation) แต่ต้อง เพิ่มความสำคัญอย่างมากกับการปรับตัว (Adaptation) ที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมี 3 พันธกรณีหลักคือ:
- การเสริมสร้างการคุ้มครองทางสังคม ให้เป็นรากฐานของความยืดหยุ่น เช่น การประกันภัยพืชผล
- การสนับสนุนผู้ผลิตอาหารรายย่อย โดยเฉพาะเกษตรกรแบบครอบครัว
- การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในป่าและระบบนิเวศที่อ่อนไหว
นอกจากนี้ ปฏิญญาฉบับนี้ ยังส่งสารที่ชัดเจนถึงระบบการเงินระหว่างประเทศว่า เงินทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศต้องเข้าถึง ประชาชน ดินแดน เกษตรกรรมของครอบครัว และเศรษฐกิจของความหลากหลายทางชีวภาพและสังคม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม เวลลิงตัน ดิอาส ระบุว่า ความหิวโหยและความยากจนในปัจจุบันเป็น “เครื่องหมายของความอยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ” ในขณะที่ รัฐมนตรีรีม อลาบาลี-ราโดวาน จากเยอรมนี เน้นย้ำว่า การปกป้องสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศจึงเป็นเรื่องของ ความยุติธรรม ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งปฏิญญานี้ได้กำหนดแผนการ ตรวจสอบความคืบหน้าในปี 2030 เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างสอดคล้องและวัดผลได้
อ้างอิง :
