‘ฝนแช่’ หนึ่งในตัวการซ้ำเติม ‘น้ำท่วมหาดใหญ่’

by Pom Pom

วิกฤต น้ำท่วมหาดใหญ่ “ฝนแช่” Stationary Heavy Rain) หนึ่งในต้นเหตุสำคัญ ทุบสถิติฝน 300 ปี เมืองแอ่งรับน้ำพังเพราะปริมาณสะสมมหาศาล

“หาดใหญ่วิปโยค” พื้นที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กำลังเผชิญเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในรอบหลายปี แม้จะไม่มีพายุโซนร้อน หรือพายุดีเปรสชันโดยตรง แต่ปริมาณน้ำฝนกลับสูงผิดปกติอย่างมาก สร้างความเสียหายทั้งในเขตเมือง เศรษฐกิจ การเดินทาง และชีวิตประจำวันของประชาชน

หนึ่งในต้นเหตุสำคัญของสถานการณ์ครั้งนี้ คือปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาที่เรียกว่า “ฝนแช่” (Stationary Heavy Rain) ซึ่งมักเกิดกับภาคใต้ในช่วงฤดูมรสุม แต่ครั้งนี้มีความต่อเนื่องและรุนแรง จนทำให้เกิดน้ำท่วมระดับกว้างขวางในหลายอำเภอ โดยเฉพาะหาดใหญ่ เมืองที่ขึ้นชื่อว่า “รับน้ำแทนพื้นที่รอบข้าง”

ฝนแช่ คืออะไร

“ฝนแช่” หมายถึงสถานการณ์ที่มวลอากาศหรือระบบฝน ค้างพื้นที่เดิมนานกว่าปกติ จนเกิดกลุ่มเมฆฝนสะสมและปล่อยฝนลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้ปริมาณฝนรายชั่วโมงอาจไม่ได้รุนแรงเหมือนพายุฝนฟ้าคะนอง แต่ความอันตรายอยู่ที่ “เวลาที่ตกต่อเนื่อง” ซึ่งทำให้พื้นที่ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน โดยทั่วไป ฝนแช่มักเกิดจากปัจจัยเหล่านี้:

  • ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ และเคลื่อนตัวช้าหรือแทบไม่เคลื่อน
  • หย่อมความกดอากาศต่ำ ที่อยู่ใกล้ชายฝั่งอ่าวไทยเป็นเวลานาน
  • ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดความชื้นเข้าสู่ฝั่งสงขลาอย่างต่อเนื่อง
  • ภูเขาวงล้อมหลายด้าน ทำให้เกิดการยกตัวของเมฆฝนซ้ำๆ

ทำไมฝนแช่ทำให้หาดใหญ่น้ำท่วมหนัก?

สิ่งสำคัญที่ขยายความรุนแรงของฝนแช่ คือ ลักษณะภูมิประเทศของหาดใหญ่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเกิดน้ำท่วม

  1. เมืองตั้งอยู่ในแอ่งรับน้ำ

น้ำจากอำเภอสะเดา คอหงส์ ควนลัง และพื้นที่สูงรอบข้าง จะไหลลงหาดใหญ่โดยธรรมชาติ เมื่อตกหนักหลายวัน น้ำจำนวนมากหลั่งไหลลงพร้อมกัน

  1. คลองอู่ตะเภาเป็นเส้นเลือดหลัก แต่มีข้อจำกัด

คลองอู่ตะเภาคือทางระบายน้ำสายสำคัญของเมือง แต่เมื่อฝนตกต่อเนื่องหลายวัน ระดับน้ำสูงกว่าความจุ ทำให้คลองเอ่อล้นและไหลท่วมถนนและบ้านเรือน

  1. เมืองขยายตัวรวดเร็ว

การก่อสร้าง บ้านจัดสรร ถนนใหม่ และพื้นผิวปูนจำนวนมาก ทำให้น้ำซึมลงดินน้อยลง การไหลบ่าบนพื้นผิวเกิดเร็วขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำขึ้นเร็วกว่าทุกครั้งในอดีต

สถิติฝนในหาดใหญ่รอบล่าสุด

ข้อมูลจากหน่วยงานและสำนักข่าวระบุชัดเจนว่าปริมาณฝนครั้งนี้สูงผิดปกติแบบไม่เคยเจอมาหลายปี:

  • ฝนสะสม 3 วัน (19–21 พ.ย. 2568): 630 มม.

ถือว่าสูงมากในระดับประเทศ และมากพอที่จะทำให้ระบบระบายน้ำทุกระบบ “ล้นเกินความจุทันที”

  • ฝน 24 ชม. วันที่ 21 พ.ย.: 335 มม.

เป็นตัวเลขที่กรมชลประทานระบุว่า “เปรียบได้กับฝนในรอบเหตุการณ์ 300 ปี”

  • บางพื้นที่ในสงขลา มีฝนหนัก 300–500 มม. ต่อวัน

ทำให้ท้องถนนและชุมชนหลายแห่งกลายเป็นพื้นที่รับน้ำอย่างรวดเร็ว

สถิติสะสมระดับนี้ไม่อาจเกิดจาก “พายุลูกเดียวทิ้งน้ำ” แต่เกิดจากลักษณะ ฝนตกต่อเนื่องยาวหลายวัน ซึ่งเป็นหัวใจของฝนแช่ โดยแท้จริง

ความแตกต่างระหว่าง “เรนบอมพ์” กับ “ฝนแช่”

แม้คำว่า “เรนบอมพ์” หรือ “ระเบิดฝน” จะถูกพูดถึงบ่อย แต่แท้จริงแล้วต่างจากฝนแช่อย่างสิ้นเชิง เรนบอมพ์ (Rain Bomb / Downburst Rain) เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่ที่ยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝนจำนวนมากตกลงมา “เป็นมวลเดียว” อย่างรุนแรงในเวลาอันสั้น กินเวลา 15–60 นาที น้ำท่วมเร็ว แต่มักลดเร็วคล้าย “ฝนเหวี่ยงลงมาแบบปักหัว” ส่วน ฝนแช่ (Stationary Heavy Rain) ฝนตกต่อเนื่อง ยาวนานหลายชั่วโมง–หลายวัน ระบบฝนแทบไม่เคลื่อน ปริมาณฝน สะสม สูงมาก ทำน้ำท่วมขังที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้าง

สำหรับพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงหาดใหญ่ ปรากฏการณ์นี้มักเกิดในช่วงมรสุมปลายปี โดยเฉพาะเมื่อมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้าสู่ฝั่งอย่างต่อเนื่อง

ภาคใต้วิกฤตหนัก อ.หาดใหญ่ น้ำท่วม สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะอะไร?

ขณะที่ ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ได้วิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยระบุว่า วิกฤตครั้งนี้มีความรุนแรงอย่างมาก โดยมี 10 จังหวัดภาคใต้ได้รับผลกระทบหนัก ทำให้ประชาชนเดือดร้อนถึง 560,000 ครัวเรือน โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลาได้รับผลกระทบครบทั้ง 16 อำเภอ มีครัวเรือนเดือดร้อนประมาณ 150,000 ครัวเรือน และอำเภอหาดใหญ่ประสบภาวะน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 500 ล้านบาท

สาเหตุหลักของน้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

สาเหตุของน้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่เกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และการบริหารจัดการน้ำ

  1. สภาพภูมิประเทศ

เมืองหาดใหญ่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบต่ำ เป็นแอ่งที่ลาดลงสู่ทะเลสาบสงขลา ทำให้มวลน้ำจากหลายทิศทางไหลมารวมกันได้ง่ายและระบายออกได้ยาก โดยเฉพาะหากเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง จะยิ่งส่งผลให้การระบายน้ำสู่ทะเลสาบสงขลาช้าลงไปอีก

ระบบการระบายน้ำหลักของหาดใหญ่คือ คลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นคลองสายหลักยาว 116 กิโลเมตร ที่ไหลจากอำเภอสะเดา ผ่านอำเภอหาดใหญ่ และไปบรรจบที่ทะเลสาบสงขลาบริเวณตำบลคูเต่า อำเภอบางกล่ำ นอกจากนี้ยังมี คลอง ร.1 หรือคลองภูมินาถดำริ ซึ่งเป็นโครงการบรรเทาอุทกภัยตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สร้างขึ้นเพื่อผันน้ำจากคลองอู่ตะเภาและน้ำที่ไหลเข้าท่วมตัวอำเภอหาดใหญ่ ให้ระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็วที่สุด ทั้งคลองอู่ตะเภาและคลอง ร.1 ต่างก็ไหลจากทิศใต้ขึ้นไปยังทิศเหนือเพื่อมุ่งหน้าลงสู่ทะเลสาบสงขลา

น้ำที่ไหลลงสู่คลองอู่ตะเภามาจากหลายทิศทาง ทั้งน้ำที่ไหลลงมาจากเขาคอหงส์ อำเภอนาหม่อม และอำเภอจะนะ ซึ่งจะไหลลงสู่คลองหวะทางทิศตะวันออกก่อนจะไหลต่อไปยังคลองอู่ตะเภา นอกจากนี้ยังมีน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขานครศรีธรรมราชทางทิศตะวันตก ซึ่งจะไหลลงสู่คลองต่ำและไหลไปบรรจบกับคลองอู่ตะเภาที่อำเภอหาดใหญ่ด้วยเช่นกัน สรุปได้ว่า น้ำจากทุกทิศทางไหลมารวมกันที่คลองอู่ตะเภา ซึ่งไหลผ่านอำเภอหาดใหญ่ซึ่งเป็นพื้นที่ราบต่ำ ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา

  1. สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและฝนตกมากกว่าปกติ

วิกฤตครั้งนี้เกิดจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน โดยมีมวลความกดอากาศสูงหรืออากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมากดร่องมรสุมความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคกลางให้เลื่อนลงมายังภาคใต้ใกล้ประเทศมาเลเซีย ประกอบกับเป็นช่วงที่เกิดสภาวะลานีญา ซึ่งส่งผลให้มีความชื้นในอากาศมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดฝนตกหนักมากใน 10 จังหวัดภาคใต้

ช่วงวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2568 มีฝนสะสมรวม 3 วัน สูงถึง 595 มิลลิเมตร ซึ่งสูงกว่าปริมาณฝนสูงสุดในวิกฤตปี 2543 และ 2553 ที่เคยทำสถิติไว้ที่ 515 มิลลิเมตร โดยเฉพาะที่เขาคอหงส์ อำเภอนาหม่อม มีฝนตกมากถึง 365 มิลลิเมตรในวันที่ 22 พฤศจิกายน และฝนยังคงตกต่อเนื่อง ปริมาณน้ำมหาศาลจากทุกสายจึงไหลลงสู่คลองอู่ตะเภาจนล้นท่วมเมืองหาดใหญ่

  1. การบริหารจัดการน้ำ การเตรียมการ และการช่วยเหลือ

ดร.สนธิ ชี้ว่าการบริหารจัดการน้ำ การคาดการณ์ การเตรียมการรับมือ การแจ้งเตือน และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในวิกฤตครั้งนี้ทำได้ไม่ค่อยดีนัก โดยภาพรวมการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยในปีนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าปกติมาก เนื่องจากเกิดน้ำท่วมหนักทั่วประเทศครบทุกภาค ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าเป็นปีที่มีภาวะลานีญาและมีสภาพอากาศแปรปรวนหนัก

แม้ว่าการแจ้งเตือนภัยพิบัติจะทำได้ล่วงหน้า 1-2 วัน และมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast ได้ดีพอสมควร ทำให้ทุกคนในพื้นที่ได้รับข่าวสาร แต่การเตรียมการรับมือและการแก้ไขปัญหาในภาวะวิกฤตยังถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานมาก เห็นได้จากประชาชนจำนวนมากยังคงติดอยู่บนหลังคาและยังไม่ได้รับอาหารและน้ำ ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างล่าช้า

Copyright @2021 – All Right Reserved.