‘ฉลาม’ ผู้คุ้มครองสมดุลทะเล กำลังเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์

by Pom Pom

ฉลาม กับการกักเก็บคาร์บอน กุญแจสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จาก 500 สายพันธุ์ และในจำนวนนี้ 25% ที่กำลังเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์

“ฉลาม” เป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลที่มีชื่อเสียง และน่าเกรงขามมากที่สุดในโลก และที่สำคัญ มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเลและการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมทางทะเล พวกมันไม่เพียงแต่เป็นนักล่าชั้นยอดในห่วงโซ่อาหารทะเล แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และความยั่งยืนของระบบนิเวศใต้ทะเล แต่ปัจจุบัน ฉลามกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการสูญพันธุ์ จากการโจมตีของมนุษย์

ในโลกนี้มีฉลามประมาณ 500 สายพันธุ์ และในจำนวนนี้ 25% กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ สายพันธุ์ที่ถูกคุกคามมากที่สุด

  • ฉลามขาว (Carcharodon carcharias)
  • ฉลามหัวค้อน (Sphyrna lewini)
  • ปลาฉลามบาสกิง (Cetorhinus maximus)
  • ปลาฉลามนวด (Alopias superciliosus)
  • ฉลามหัวบาตร (Galeocerdo cuvier)

ปัจจุบัน มีการอนุรักษ์ และการวิจัยเกี่ยวกับฉลามมากขึ้น เพื่อปกป้องสายพันธุ์ที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ การรณรงค์เพื่อการบริโภคอย่างยั่งยืน และการห้ามการตัดครีบฉลามเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล แต่ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เผยข้อมูลการร่วมงานของกลุ่มอนุรักษ์และนักวิทยาศาสตร์ ได้ให้ความสำคัญกับเส้นทางการค้าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ระหว่างประเทศ โดยได้ใช้การวิเคราะห์ดีเอ็นเอที่ซับซ้อน เพื่อกลั่นกรองตัวอย่างจากผลิตภัณฑ์ที่มาจากร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และการประมงทั่วประเทศไทย พบว่า ผลิตภัณฑ์จากปลาฉลามส่วนใหญ่ที่ออกวางจำหน่ายนั้น กว่าครึ่งเป็นของสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ หรือใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ตามบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List)

ในบรรดาสายพันธุ์ที่ระบุ ได้แก่ ปลาฉลามหัวค้อนใหญ่ (Sphyrna Mokarran), ปลาฉลามหัวค้อนสแกลลอป (Sphyrna Lewini) และฉลามสันทราย (Carcharhinus Plumbeus) การค้นพบเหล่านี้น่าตกใจอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาว่ามากกว่าหนึ่งในสามของสายพันธุ์ฉลามที่ระบุ ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในน่านน้ำไทยมาก่อน บ่งบอกถึงเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศที่กว้างขวางและซับซ้อน ซึ่งป้อนเข้าสู่ความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลาฉลามในท้องถิ่น โดยไม่สามารถติดตามย้อนกลับ (Traceability) หรือหาแหล่งที่มาของห่วงโซ่อุปทานนี้ได้

เนื่องจากการบริโภคหูฉลามยังคงถูกกฎหมายในไทย โดยเป็นทั้งผู้บริโภครายใหญ่และผู้เล่นหลักในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาฉลามไปยังตลาดระหว่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ กลุ่มนักอนุรักษ์มีการเรียกร้องให้ภาครัฐปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลเพื่อให้มั่นใจถึงความยั่งยืนของประชากรฉลาม และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลในการอนุรักษ์

ฉลาม: ความสำคัญต่อโลกและระบบนิเวศทางทะเล

  1. การควบคุมประชากรของสัตว์น้ำ

ฉลามมีบทบาทสำคัญในการควบคุมประชากรของสัตว์ทะเลอื่นๆ โดยเฉพาะสัตว์ที่กินพืชหรือสัตว์น้ำขนาดเล็ก พวกมันเป็นนักล่าที่ช่วยลดจำนวนของสัตว์ที่อาจเติบโตและกินทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด ทำให้ไม่เกิดการขาดแคลนทรัพยากร หรือการแย่งชิงอาหารในทะเล นอกจากนี้ การควบคุมประชากรของสัตว์บางชนิดยังช่วยรักษาความสมดุลของห่วงโซ่อาหารทะเล

  1. การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

ฉลามเป็นสัตว์ที่ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของทะเล โดยการล่าสัตว์ที่อ่อนแอ หรือป่วยออกจากประชากร ซึ่งช่วยลดการแพร่กระจายของโรค หรือการเพิ่มขึ้นของสัตว์ที่ไม่แข็งแรง นอกจากนี้ ฉลามยังมีบทบาทในการป้องกันไม่ให้สัตว์บางชนิดกลายพันธุ์มากเกินไป จนทำให้ระบบนิเวศทะเลเสียสมดุล

  1. การส่งเสริมความสมดุลในห่วงโซ่อาหาร

ห่วงโซ่อาหารในทะเลนั้นซับซ้อน และเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ฉลามมีบทบาทในการรักษาความสมดุลในห่วงโซ่อาหาร โดยการควบคุมประชากรของสัตว์ที่อาจทำลายห่วงโซ่อาหาร หรือการเติบโตเกินขนาดของประชากรบางชนิด การกำจัดสัตว์ที่อ่อนแอหรือป่วย จะช่วยให้ประชากรของสัตว์ที่แข็งแรงยังคงเติบโตอย่างมีคุณภาพ และสามารถรักษาสภาพแวดล้อมทะเลให้สมดุลได้

  1. การช่วยรักษาสภาพแหล่งที่อยู่อาศัย

ในระบบนิเวศทางทะเล ฉลามมีบทบาทในการรักษาสภาพแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลอื่นๆ เช่น ปะการัง สัตว์ที่ฉลามล่าอาจมีการกินสัตว์ที่ทำลายปะการัง หรือแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลอื่นๆ ซึ่งการควบคุมประชากรของสัตว์เหล่านี้ช่วยให้ปะการังและแหล่งที่อยู่อาศัยอื่นๆ ยังคงมีความสมบูรณ์และหลากหลาย ซึ่งในอีกทางหนึ่ง ก็มีส่วนช่วยในการกักเก็บคาร์บอนในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ฉลาม กับการมีส่วนช่วยในการกักเก็บคาร์บอนในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

  • การควบคุมประชากรเหยื่อ:

ฉลามเป็นผู้ล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร การล่าเหยื่อของฉลามช่วยควบคุมจำนวนประชากรของสัตว์ที่พวกมันล่า ซึ่งป้องกันไม่ให้เหยื่อเหล่านั้นกินพืชหรือสาหร่ายในทะเลจนเกินไป สาหร่ายเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง

  • การกักเก็บคาร์บอนในร่างกาย:

ฉลามที่ตายลงจะจมลงสู่ก้นทะเล นำคาร์บอนที่สะสมอยู่ในร่างกายลงไปด้วย นี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการที่เรียกว่า “biological pump” ซึ่งช่วยในการกักเก็บคาร์บอนในระยะยาวในส่วนลึกของมหาสมุทร

  • สุขภาพของระบบนิเวศทางทะเล:

ฉลามมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล การที่ฉลามมีจำนวนลดลงหรือสูญพันธุ์อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโซ่อาหารที่เป็นลูกโซ่ ส่งผลให้ระบบนิเวศทั้งระบบมีประสิทธิภาพในการกักเก็บคาร์บอนลดลง

  • การส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชทะเล:

ด้วยการควบคุมประชากรสัตว์กินพืช, ฉลามช่วยให้พืชทะเลเช่นสาหร่ายและแพลงก์ตอนพืชเจริญเติบโตได้ดีขึ้น พืชเหล่านี้เป็นตัวดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญของทะเล

  • การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ:

การมีฉลามในระบบนิเวศที่หลากหลายช่วยสนับสนุนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บคาร์บอนผ่านเครือข่ายอาหารที่ซับซ้อน

สาเหตุของการลดลงของฉลาม

  1. การตกปลามากเกินไป: สาเหตุหลักประการหนึ่งของการลดลงของประชากรฉลามคือการจับปลามากเกินไป ซึ่งรวมถึงเป้าหมาย พลอยที่จับได้ และครีบฉลาม ซึ่งฉลามถูกจับได้เพื่อใช้ครีบทำซุปหูฉลามเท่านั้น ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะในบางวัฒนธรรม
  2. การทำลายที่อยู่อาศัย: ความเสื่อมโทรมและการทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล เช่น แนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเล เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การก่อสร้างชายฝั่ง การทำเหมือง และมลพิษ ได้ส่งผลกระทบต่อประชากรฉลามอย่างมากเช่นกัน
  3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: อุณหภูมิของน้ำที่สูงขึ้นและความเป็นกรดในมหาสมุทรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอาจส่งผลเสียต่อที่อยู่อาศัยของฉลามและเหยื่อ ทำให้พวกมันอยู่รอดและขยายพันธุ์ได้ยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากการที่ฉลามกำลังเผชิญกับการคุกคามจากหลายปัจจัย จนทำให้จำนวนฉลามในทะเลทั่วโลกลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทะเลโดยรวม ดังนั้น การอนุรักษ์ฉลามจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงแต่เพื่อความสมดุลของธรรมชาติ แต่ยังเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ด้วย

อ้างอิง :

Copyright @2021 – All Right Reserved.