โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ไม่อาจมองข้ามได้ ข้อมูลล่าสุดประจำปี 2024 เผยให้เห็นว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 จากปีก่อนหน้า และแตะระดับสูงสุดที่ 37.8 กิกะตัน (GtCO₂) ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้อัตราการเพิ่มขึ้นจะต่ำกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกร้อยละ 3.2 แต่การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโลกได้สูงถึง 422.5 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 3 ppm เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2023 และยังสูงกว่าก่อนยุคอุตสาหกรรมราว ร้อยละ 50 (1)
การสะสมของก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ ซึ่งทำให้เกิดเหมือนผ้าห่มที่คลุมโลก ทำให้ความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่สามารถระบายออกไปได้ ส่งผลให้อุณหภูมิที่พื้นผิวโลกสูงขึ้นเกินระดับที่ควรจะเป็น และสร้างภัยธรรมชาติที่รุนแรงตามมา (2)
กิจกรรมของมนุษย์ทำให้อุณหภูมิของโลกได้สูงขึ้นไปประมาณ 1.0 องศาเซลเซียส เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม และคาดว่าจะแตะ 1.5 องศาเซลเซียส ระหว่างปี 2030-2052 ผลกระทบจากภาวะนี้มีหลายด้าน ตั้งแต่ภัยแล้งที่รุนแรง น้ำท่วม ไฟไหม้ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์และพืชกว่า 1 ล้านชนิดทั่วโลกนั้น มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ (2)
หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2024 คือ ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แซงหน้าปี 2023 ทำให้ความต้องการพลังงานสำหรับการทำความเย็นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในปีนี้ถึงประมาณ ร้อยละ 80 ของทั้งหมด (1)
เมื่อเจาะลึกในด้านพลังงาน จะเห็นว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีการปล่อยก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 2.5 หรือประมาณ 180 ล้านตันในปี 2024 ทำให้เป็นปัจจัยที่สำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการปล่อยก๊าซจากถ่านหินก็เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.9 หรือประมาณ 135 ล้านตัน การเติบโตในด้านการใช้พลังงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากประเทศที่มีเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา (1)
โดยเฉพาะประเทศในเอเชีย อินเดียมีการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยพุ่งสูงถึง ร้อยละ 5.3 เนื่องจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในขณะที่จีนแม้ว่าการเติบโตของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะชะลอลงเหลือ ร้อยละ 0.4 แต่การปล่อยก๊าซต่อหัว ยังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วถึง ร้อยละ 16 และเกือบจะสองเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Advanced Economies) มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีการลดลงของการปล่อย ร้อยละ 1.1 ในปี 2024 (1)
แม้สถานการณ์โลกจะดูน่ากังวล แต่ก็ยังมีมุมมองที่สดใสจากพลังงานสะอาด การเติบโตของความต้องการพลังงานทั่วโลกในปี 2024 อยู่ที่ ร้อยละ 2.2 ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 4.3 นับเป็นการเติบโตที่รวดเร็ว และที่น่าสนใจคือ ในปี 2024 การผลิตไฟฟ้าทั่วโลกเติบโตร้อยละ 80
จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานนิวเคลียร์ (1)
การติดตั้งกำลังการผลิตใหม่ของพลังงานหมุนเวียนยังคงทำสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 22 ติดต่อกัน โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มขึ้นประมาณ 700 กิกะวัตต์ในปี 2024 ซึ่งเกือบร้อยละ 80 มาจากโซลาร์เซลล์
ซึ่งความก้าวหน้าในเทคโนโลยีสะอาดหลัก 5 ชนิดนั้น ได้แก่ โซลาร์เซลล์, พลังงานลม, พลังงานนิวเคลียร์, รถยนต์ไฟฟ้า และฮีทปั๊ม(ปั๊มความร้อน) ที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2019 ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมได้ถึง 2.6 พันล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 7 ของการปล่อยก๊าซทั่วโลก ถ้าไม่มีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าปัจจุบันถึงสามเท่า (1)
สถานการณ์ในประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศพันธมิตรของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ที่ได้รับผลกระทบสะสมระหว่างปี 2011-2045 สูงถึง 17,912 ถึง 83,826 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากปัญหาความร้อนและปริมาณน้ำฝนที่ผันผวน ทำให้ดินในการเพาะปลูกไม่สมบูรณ์และผลผลิตได้รับความเสียหาย เช่น มันสำปะหลังที่เน่าเสียจากน้ำฝนมากเกินไป หรืออ้อยที่ขาดน้ำจากภัยแล้งที่ยาวนาน (2)
นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อชุมชนชายฝั่ง ในประเทศไทยมีพื้นที่ชายฝั่งราว 23% ที่ต้องเผชิญกับปัญหาการกัดเซาะและสูญเสียพื้นที่ถึง 1-5 เมตรต่อปี ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากถึง 6,000 ล้านบาท ภัยแล้งก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่สูง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เห็นชัดเจนว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นไม่เท่าเทียมกัน และส่งผลกระทบหนักที่สุดต่อกลุ่มที่มีรายได้น้อย ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ รวมถึงธุรกิจที่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศโดยตรง เช่น การท่องเที่ยวและการเกษตร (2)
ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยจากบัญชีก๊าซเรือนกระจกในปี 2018 ชี้ให้เห็นว่าก๊าซเรือนกระจกมากกว่า ร้อยละ 60 มาจากภาคพลังงานที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 69.06% โดยการผลิตไฟฟ้าและความร้อนมีสัดส่วนสูงถึง 40.05% ของการปล่อยทั้งหมดในภาคนี้ (2)
ตามมาด้วยภาคเกษตรกรรมมีการปล่อยก๊าซราว 15.69% แม้ว่าจะไม่สูงเท่ากับภาคพลังงาน แต่ก็มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมาก เพราะอาชีพในภาคนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศอย่างชัดเจน ส่วนภาคอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ปล่อยก๊าซราว 10.77% ที่มีการปล่อยจากการผลิตปูนซีเมนต์มากกว่าครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 51.28% ขณะที่ภาคการจัดการขยะปล่อยก๊าซประมาณ 4.88% โดยการกำจัดขยะมูลฝอยคิดเป็น 52.53% (2)
เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตนี้และปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศ (NDC) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขั้นต่ำที่ ร้อยละ 30 และเป้าหมายขั้นสูงที่ ร้อยละ 40 จากกรณีปกติภายในปี 2030 โดยมีแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี 2021-2030 เป็นกรอบการดำเนินการ (3)
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ส่งผลกระทบแค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความยุติธรรมและความเท่าเทียมที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางที่สุดและคนรุ่นใหม่ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในอนาคต การตระหนักรู้และลงมือทำอย่างเร่งด่วนจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายของประเทศทั่วโลกนับต่อแต่นี้ไป (2)
อ้างอิง:
(1) https://iea.blob.core.windows.net/assets/5b169aa1-bc88-4c96-b828-aaa50406ba80/GlobalEnergyReview2025.pdf
(2) https://www.undp.org/stories/greenhouse-emissions-thailand-th
(3) https://www.dcce.go.th/datacenter/653/

