ประเด็นหลักการประชุม COP30 ที่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ซึ่งได้ปิดฉากไปแล้ว คือ “เชื้อเพลิงฟอสซิล” ที่แม้ 88 ประเทศจะเรียกร้องให้จัดทำแผนเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน แต่ความแตกแยกในการประชุมทำให้ข้อเสนอนี้ไม่ถูกบรรจุในมติ “Mutirão” ขณะที่บราซิลกลับก้าวขึ้นเป็นผู้นำอย่างโดดเด่น ด้วยการประกาศทำแผนเปลี่ยนผ่านสองฉบับ ได้แก่ แผนเศรษฐกิจปลอดฟอสซิลอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม (fossil-fuel transition roadmap) และแผนป่าไม้และสภาพภูมิอากาศ (forest-climate/deforestation roadmap) รวมทั้งเสนอ/สนับสนุนกลไกด้านการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (ที่มักถูกเรียกในสื่อว่า Belém Action Mechanism หรือ Just Transition Mechanism) เพื่อสนับสนุนประเทศต่าง ๆ และภาคประชาสังคม (1)
ด้านพลังงาน ภายใต้วาระปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศโลก (GCAA) ได้มีการจับมือระหว่าง Utilities for Net Zero Alliance (UNEZA) และโครงการ Green Grids Initiativeเดินหน้าแผนขยายและเสริมความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าโลก มุ่งลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 เพื่อเพิ่มพลังงานสะอาดและระบบกักเก็บพลังงาน สอดคล้องกับเป้าหมายเพิ่มพลังงานหมุนเวียนเป็นสามเท่า อีกทั้ง UNEZA ยังเพิ่มงบลงทุนรายปีเกือบ 30% เป็น 148,000 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน Asian Development Bank (ADB) และธนาคารโลกเตรียมระดมทุนรวม 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ หนุนโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) (2)
ภาคที่ลดคาร์บอนยากมีการขยับตัวเช่นกัน ด้วยการผ่าน “Belém 4x Pledge on Sustainable Fuels” (หรือ “Belém 4x”) ที่ตั้งเป้าเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงยั่งยืน ทั้งไฮโดรเจน เชื้อเพลิงชีวภาพ และเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อยสี่เท่าจากปี 2024 ภายในปี 2035 พร้อมด้วย “ปฏิญญาเบเล็งเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว” ที่บราซิล สหราชอาณาจักร และแอฟริกาใต้ร่วมผลักดัน ซึ่งมีโครงการอุตสาหกรรมสะอาดที่ใกล้ถึงการตัดสินใจลงทุน (near-FID) มูลค่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ โดยกว่าหนึ่งในสามอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งสะท้อนโอกาสการลงทุนสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ (2)
พลังเงินหมุนโลก: เปิดประตูเงินทุนเพื่ออนาคตที่ยืดหยุ่น
การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศเป็นอีกหัวใจสำคัญของ COP30 โดยจะดำเนินโครงการระยะเวลา 2 ปีในการพัฒนาด้านการเงินสำหรับสภาพภูมิอากาศ เพื่อหาวิธีการระดมทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยตั้งเป้าให้ได้อย่างน้อยปีละ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2035 ในเวลาเดียวกัน มติจากการประชุม Mutirão ได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มเงินทุนสำหรับการปรับตัวให้เป็นสามเท่าในปีเดียวกัน (1)
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการเข้าถึงเงินทุนของประเทศกำลังพัฒนา COP30 ยังมีความคืบหน้าในการสร้าง “ภาษาทางการเงินร่วมกัน” ผ่านการเปิดตัว Global Super-Taxonomy ที่ทำหน้าที่เหมือนพจนานุกรมกลางสำหรับการเงินสีเขียว เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบและแปลข้อมูลด้านความยั่งยืนของแต่ละประเทศได้เข้าใจตรงกัน นอกจากนี้ บราซิลยังได้เผยแพร่ Brazilian Sustainable Taxonomy (BST) ซึ่งได้รวมเกณฑ์เกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเกณฑ์ทางสังคม เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ และเชื้อชาติ (2)
ในด้านการจัดการความเสี่ยงทางการเงิน มีการเปิดตัว Infrastructure Resilience Development Fund (IRDF) มูลค่า 340 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งริเริ่ม Financial Instruments for Ready and Resilient (FIRRe) ซึ่งจะจัดสรรเงินทุนฉุกเฉินและเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยืดหยุ่นรวมเป็น 6,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 สำหรับภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียน ผ่านกลไกข้อกำหนดหนี้ที่เชื่อมโยงกับความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจจากสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience Debt Clauses) (2)
ธรรมชาติและอาหาร: ปกป้องป่าเขตร้อนและการเกษตรยุคใหม่
การประชุม COP30 ในภูมิภาคแอมะซอนเน้นย้ำความสำคัญของการคุ้มครองธรรมชาติอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเปิดตัวกองทุนเพื่อป่าเขตร้อนตลอดกาล (Tropical Forest Forever Facility – TFFF) ด้วยเงินตั้งต้น 5,500 ล้านดอลลาร์ ตั้งเป้าระดมให้ถึง 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ในระยะยาว โดยกำหนดให้ไม่น้อยกว่า 20% ของเงินทั้งหมดส่งตรงถึงชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น เพื่อสะท้อนบทบาทสำคัญในการพิทักษ์ผืนป่า (2) (3)
อีกหนึ่งก้าวที่สำคัญคือ การเปิดตัวข้อตกลงด้านการถือครองที่ดินระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Land Tenure Commitment – ILTC) ซึ่งจะรับรองสิทธิในที่ดินรวม 160 ล้านเฮกตาร์สำหรับชนพื้นเมือง ชุมชนดั้งเดิม และกลุ่มผู้มีเชื้อสายแอฟริกา โดยบราซิลตั้งเป้าที่จะรับรองพื้นที่ 63 ล้านเฮกตาร์ (2)
ด้านเกษตรและอาหาร มีคำมั่นลงทุนกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์ ผ่าน Action Agenda on Regenerative Landscapes (AARL) เพื่อผลักดันการพัฒนาภูมิทัศน์แบบฟื้นฟู (Regenerative Landscapes) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 210 ล้านเฮกตาร์ และเข้าถึงเกษตรกร 12 ล้านคน ในกว่า 110 ประเทศ ภายในปี 2030 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าจากปี 2023 พร้อมกันนี้ บราซิลยังเปิดตัว RAIZ (Resilient Agriculture Investment for Zero‑land degradation) เพื่อคัดเลือกโครงการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมและพัฒนาเครื่องมือทางการเงินดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนอีกด้วย (2)
มิติมลพิษทางการเกษตร มีการสร้างกลไกใหม่ขึ้นเพื่อเร่งดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกและมลพิษที่เป็นอันตราย เช่น ก๊าซมีเทน โดยการสนับสนุนทั้งงานวิจัยและการขยายวิธีปฏิบัติที่ดี ด้วยการจัดสรรเงินทุนเริ่มต้นจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์ (2)
ความยืดหยุ่นในเมืองและสังคม: กลไกเพื่อความเท่าเทียมและสุขภาพ
COP30 เน้นการลงมือปฏิบัติที่ยึด “ผู้คนเป็นศูนย์กลาง” โดยมีแคมเปญ Race to Resilience ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับประชากร 437.7 ล้านคน พร้อมกับการระดมทุนเพื่อการปรับตัวถึง 4,200 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ บราซิลยังส่งเสริมด้านสังคมผ่านปฏิญญาเบเล็ง ที่มุ่งเน้นการจัดการความหิวโหย ความยากจน และการดำเนินงานด้านสภาพอากาศที่ใส่ใจมนุษย์เป็นหลัก โดยมีผู้นำจาก 43 ประเทศและสหภาพยุโรปที่ให้ความสนใจในประชากรกลุ่มเปราะบางเป็นศูนย์กลางของนโยบายสภาพภูมิอากาศทั่วโลก (2)
ด้านสุขภาพ ได้เปิดตัวBelém Health Action Plan ซึ่งเป็นแผนการปรับตัวระดับนานาชาติฉบับแรกที่เน้นเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะ ด้วยการสนับสนุนเงินทุนเริ่มต้น 300 ล้านดอลลาร์ จากองค์กรการกุศลกว่า 35 แห่ง เพื่อเตรียมรับมือกับภัยสุขภาพจากภาวะโลกร้อน เช่น คลื่นความร้อน และโรคติดเชื้อ (2)
ด้านความเท่าเทียม COP30 ได้รับรองแผนปฏิบัติการด้านเพศสภาพและสภาพภูมิอากาศ (Gender Action Plan Agreed) ฉบับใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลจำแนกตามเพศและปัจจัยอื่น เช่น เชื้อชาติ ความพิการ และอายุ พร้อมเปิดตัว Global Initiative for Jobs & Skills for the New Economy เพื่อบูรณาการการพัฒนาทักษะเข้ากับยุทธศาสตร์สภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้ารวมกว่า 20 ประเทศและ 40 สถาบันใน “ชุมชนการมีส่วนร่วมด้านงานและทักษะสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่” ภายในปี 2028 (1) (2)
ในระดับเมือง COP30 ได้เดินหน้าสร้างความยืดหยุ่นให้แก่โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านแผนการเร่งรัดความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานในเขตเมือง สำหรับประเทศกำลังพัฒนาและรัฐบาลท้องถิ่น พร้อมกับเปิดตัว Beat the Heat PAS เพื่อให้เมืองกว่า 185 แห่ง จัดทำแผนรับมือกับความร้อนและเพิ่มพื้นที่สีเขียว ครอบคลุมประชากรทั่วโลกถึง 3,500 ล้านคน (2)
นวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์: ขับเคลื่อนอนาคต
COP30 ยังได้อนุมัติกลไกสำคัญอย่าง Global Implementation Accelerator ที่มุ่งจัดลำดับความสำคัญของมาตรการลดก๊าซมีเทนและการใช้โซลูชันจากธรรมชาติ (3) พร้อมทำงานร่วมกับวาระปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศโลก (Global Climate Action Agenda : GCAA) ที่มี 30 กลุ่มขับเคลื่อน รวม 482 โครงการ และ Plans to Accelerate Solutions: PAS อีก 117 แผนที่มุ่งขจัดอุปสรรค โดยเน้นด้านความรู้และการสร้างศักยภาพ 91% ความร่วมมือ 87% และการเงินภาครัฐและเอกชน 79% (2)
ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI จะก่อตั้ง AI Climate Institute (AICI) เพื่อเสริมสร้างทักษะและความสามารถให้กับประเทศกำลังพัฒนาในการใช้ AI จัดการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเท่าเทียม พร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถใช้ระบบ DPI และ DPG แบบเปิดในการตอบสนองต่อภัยพิบัติ การจัดการน้ำ และการพัฒนาการเกษตรที่มีความยืดหยุ่น (2)
นอกจากนี้ ได้มีการเปิดตัว Global Initiative for Information Integrity on Climate Change พร้อม Declaration on Information Integrity on Climate Change ซึ่งได้รับการรับรองโดย 10 ประเทศ พร้อมกองทุน Global Fund for Information Integrity ที่เริ่มสนับสนุนโครงการระยะแรก (2)
ก้าวต่อไปที่ COP31
การประชุม COP31 จะมีตุรกีเป็นเจ้าภาพ ขณะที่ออสเตรเลียจะทำหน้าที่ประธานฝ่ายเจรจา ซึ่งเป็นบทบาทพิเศษที่มุ่งหวังจะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา (1) ซึ่งจากกลไกและแผนงานใน COP30 สะท้อนให้เห็นว่าโลกกำลังมุ่งไปสู่ยุคการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่จะต้องมีความเป็นจริง ชัดเจน และมีความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น (3)
อ้างอิง:
(1) https://www.iisd.org/articles/insight/cop-30-outcome-what-it-means-and-whats-next
(2) https://unfccc.int/sites/default/files/resource/COP30%20Action%20Agenda_Final%20Report.docx.pdf
(3) https://cop30.br/en/news-about-cop30/cop30-landmark-outcomes-emerge-from-negotiations-despite-unprecedented-geopolitical-tensions


